ผู้เขียน หัวข้อ: การบ้านจิตวิทยาอ่าคับ  (อ่าน 3253 ครั้ง)

jokerzero

  • คนที่ไม่รู้ว่าใคร
Re: การบ้านจิตวิทยาอ่าคับ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2010, 01:56:05 PM »
 
ไวน์แดงอาจช่วยลดน้ำหนัก



นักวิจัยจาก The Centre National de la Recherche Scientifique กรุงปารีส ค้นพบสารสำคัญอย่างหนึ่งในไวน์แดงที่เชื่อกันว่าอาจช่วยลดน้ำหนักได้

สารที่ว่านั้นก็คือ เรสเวอราโทรล (resveratrol) พฤกษเคมีที่องุ่นทุกสายพันธุ์สร้างขึ้นบนผิวเปลือกเพื่อป้องกันตัวเองจาก เชื้อราและแบคทีเรีย โดยพบมากที่สุดบนเปลือกองุ่นพันธุ์มัสคาดีนซึ่งนิยมใช้ผลิตไวน์แดง ในการทดลอง ทีมวิจัยได้ให้สารสกัดเรสเวอราโทรลเป็นอาหารเสริมแก่ตัวลีเมอร์ต่อเนื่องนาน สี่สัปดาห์ ผลปรากฏว่าตัวลีเมอร์มีอัตราการบริโภคต่ำลง 13 เปอร์เซ็นต์ และอัตราการเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นเป็น 29 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ดี การบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจเป็นผลเสีย หากจะใช้วิธีนี้ช่วยลดน้ำหนัก แนะนำให้รับประทานองุ่นสดจะดีต่อสุขภาพมากกว่า

   

 
สนับสนุนเนื้อหา
 
คำที่เกี่ยวข้อง  :   ลดความอ้วน   ไวน์แดง   เรสเวอราโทรล   ลดน้ำหนัก   

ออฟไลน์ mameo

  • แฟนคลับ
  • ขั้น 2 : วัยรุ่นไฟแรง
  • ***
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด
    • http://b-u-t-t-e-r.hi5.com
Re: การบ้านจิตวิทยาอ่าคับ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2007, 10:36:36 PM »
งานทฤษฎี ข้อมูลจาก http://home.dsd.go.th/techno/edutech10/images/stories/download/%EA%E3%F8%BB%E3%F2%A1%B0%F2%B9%A8%F4%B5%E7%F4%B7%E2%F2.doc

ข้อมูลจากhttp://www.geocities.com/mymcu/som06.htm

วัยผู้ใหญ่
       วัยผู้ใหญ่นับเป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมาก คือเริ่มตั้งแต่การสิ้นสุดวัยรุ่นมีอายุประมาณ ๒๐ ปีขึ้นไป วัยนี้จัดว่ามีพัฒนาการที่สมบูรณ์ หรือกล่าวได้ว่า เป็นวัยที่มีวุฒิภาวะเต็มขั้นแล้ว  ระยะวัยผู้ใหญ่เป็นช่วงเวลานาน นับตั้งแต่สิ้นสุดวัยรุ่น ประมาณอายุ ๒๐ ปีไปจนสิ้นสุดชีวิตนับเวลาโดยเฉลี่ยราว ๆ ๕๐-๖๐ ปี ฉะนั้น นักจิตวิทยาพัฒนาการบางท่านจึงแบ่งวัยผู้ใหญ่ออกเป็น ๓ ระยะกว้าง ๆ คือ วัยผู้ใหญ่ตอนต้น  วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง  วัยชรา   

ผู้ใหญ่วัยกลางคน  หรือวัยกลางคน
หากนับตามอายุที่ตำราได้บอกไว้ในช่วงศึกษาชั้นปีที่ ๓ ที่ผ่านมา วัยผู้ใหญ่นี้ นับตั้งแต่ อายุ  ๒๑-๔๐ ปี นับจากนั้นเป็นวัยกลางคน และวัยชรา แต่ไม่ได้จัดไว้ว่า วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ตอนกลาง และตอนปลาย จัดไว้แต่ตอนต้น กับตอนกลาง (อบรม สินภิบาล) และว่า วัยผู้ใหญ่ กับวัยกลางคน (สุชา  จันทร์เอม)  ดังนั้นในการรายงานวัยผู้ใหญ่ตอนกลางนี้ จึงขอกล่าวรวบวัยผู้ใหญ่ตอนกลางกับวัยกลางคนเข้าด้วยกัน  วัยนี้เริ่มตั้งแต่อายุประมาณ ๔๑–๖๐ ปี นับว่าเป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนานและเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของชีวิตอีกระยะหนึ่ง เพราะเป็นวัยที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า บุคคลประสบความสำเร็จเพียงใด บุคคลที่ทำงานในระดับหัวหน้า นักปกครอง รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการตามสถาบันต่าง ๆ จะอยู่ในช่วงชีวิตตอนนี้เป็นวัยที่น่าสนใจอย่างยิ่งของชีวิตทีเดียว

ลักษณะของผู้ใหญ่วัยกลางคน
วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง   แบบแผนของชีวิตเข้ารูป หรือ เกือบเข้ารูปเข้ารอย  ในวัยนี้บุคคลผู้มีการพัฒนาตามวัยที่ผ่านมา จะประสบความสำเร็จด้านชีวิต ด้านอาชีพ ในระดับและในแนวทางตามประสบการณ์ที่ตนได้สะสมตั้งแต่ระยะวัยทารกสืบมา จึงได้สมญาว่า ยุคทองของชีวิต  หรือยุค  ความสำเร็จสุดยอด     

ลักษณะที่สำคัญของวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง ประกอบด้วยร่างกาย และจิตใจเปลี่ยนแปลงไป ความแข็งแรง ตลอดจนสุขภาพของร่างกายเสื่อมถอยจำเป็นต้องใช้ยารักษาโรค นอกจากนั้นความสามารถทางเพศเสื่อมลง ซึ่งจะส่งผลต่อปัญหาทางด้านจิตใจ ดังนั้น  วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง มักจะเกิดปัญหาในด้านการปรับตัวทางร่างกายมากกว่าปัญหาอื่น   ว่าโดยส่วนรวมแล้ว วัยผู้ใหญ่ ตอนกลาง  มีลักษณะที่สำคัญหลายประการคือ

เป็นระยะที่มีความหวาดกลัว  นับเป็นผลพวงก่อนที่จะย่างเข้าสู่วัยชรา   มักจะมีความรู้สึกเศร้าซึม หวาดหวั่นมาก  เพราะในวัยกลางคน สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่รูปร่าง หน้าตา หรือลักษณะท่าทางก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ภรรยามีความหวาดกลัวว่าสามีอาจจะแสวงหาภรรยาใหม่  ยิ่งถ้าขาดความรู้และไม่ได้รับการเตรียมตัวมาก่อน  ก็ยิ่งจะมีผลทำให้ผู้ใหญ่ในวัยนี้เศร้าซึมยิ่งขึ้น

เป็นระยะเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต  เนื่องจากต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สภาพใหม่ ๆ เช่นทางด้านร่างกาย  สติปัญญา  อารมณ์  และสังคม  เพราะคนเราทุกคนจะมีความสุขในช่วงบั้นปลายชีวิตก็อยู่ในช่วงนี้เช่นเดียวกัน   ดังนั้นบางคน อาจจะมีปัญหา โดยอารมณ์หงุดหงิดง่ายเป็นบางครั้งอันเป็นผลเนื่องมาจากความปรารถนาตนเองนั่นเอง

เป็นช่วงระยะเวลาที่จะต้องมีการปรับตัวอีกครั้งหนึ่ง  เนื่องจากวัยที่ผ่านมายังไม่มีคู่ชีวิต เลยทำงานอะไรก็คล่องตัว ไม่ห่วงหน้าห่วงหลัง  แต่พอมาช่วงวัยนี้ มีครอบครัว  ต้องมีคู่ร่วมชีวิต จะทำอะไรก็ต้องทำให้มากกว่าเดิม เช่นแต่ก่อนเคยหาอาหาร  กินอย่างไรก็ได้ แต่พอมาคราวนี้ ต้องหาอาหารมากกว่าเดิม   พอแต่งงานไปได้สักพัก ก็มีบุตร  จากคนที่มีสถานะเป็นลูก  ต่อมาได้มีสถานเป็นพ่อแม่คน ดังนั้นจึงต้องมีการปรับตัว ให้สมกับสถานของตนเอง

เป็นช่วงที่ร่างกายมีและไม่มีความสมดุล  การทำงานอาจจะมีขลุกขลักดังที่กล่าวมาแล้ว อันนี้เป็นผลมาจาก การมีสมดุลในร่างกาย  เพราะมาถึงตอนนี้  ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง จากที่ทำงานคล่องตัวในตอนเป็นหนุ่มสาว พอเริ่มมีอายุเข้า การทำงานก็ไม่ค่อยคล่อง  อันเป็นสาเหตุจากความเสื่อมถอยของร่างกาย  ทำให้ร่างกายขาดความสมดุล 

เป็นระยะเวลาแห่งอันตราย  วัยผู้ใหญ่ตอนปลายนี้นับว่าเป็นช่วงที่มีอันตรายมากที่สุดอีกช่วงหนึ่ง  เพราะเมื่อถึงช่วงนี้แล้วคนเราจะมีความสุขแล้วแต่หากคนใดยังไม่มีความสุข  ก็นับว่าอยู่ในช่วงอันตราย บางคนอาจจะมีลูกหลานทิ้ง เริ่มไม่เห็นความสำคัญของผู้ใหญ่ซึ่งก็เริ่มแก่ชราแล้ว  นั่นคือความคิดของคนชรา อาจคิดสั้น   หรือในกรณีที่ร่างกายเริ่มมีการเสื่อมถอย   หากเกิดกระทบกระทั่งบ้าง ก็ทำให้บอบช้ำได้ง่าย  และยากแก่การรักษา  เพราะอวัยวะต่าง ๆ เริ่มเสื่อมสมรรถภาพ   และการขาดความสมดุลทางร่างกาย

ลักษณะของผู้ใหญ่วัยกลางคนอีกรูปแบบหนึ่ง
๑. มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม  โดยทั่วไปในระยะนี้  ผู้ใหญ่มักจะมีฐานะดีขึ้น มีบ้านเรือนเป็นหลักแหล่งของตนเอง   สามารถรวบรวมเงินไว้ได้พอเพียงแก่การใช้จ่ายของตนเอง ในระยะนี้บุตรตนเป็นหนุ่มสาว และแยกออกไปมีครอบครัวเป็นส่วนมาก จึงทำให้ภาระต่าง ๆ ลดลง สามารถใช้เวลาว่างในการพักผ่อนและช่วยเหลือสังคมได้มากกว่าเดิม

๒. เป็นวัยของความเปลี่ยนแปลงทางเพศ  นั่นคือทั้งหญิงและชายมักรู้สึกตัวว่าตนกำลังจะสูญเสียความดึงดูดทางเพศ พลังทางร่างกายต่างก็ลดลงไป ทั้งสองเพศต่างเป็นห่วงว่า อีกฝ่ายอาจจะนอกใจได้จึงอาจมีความรู้สึกเศร้า ว้าเหว่  บางคนที่ต้องอยู่ลำพัง ตามบ้านเพราะลูก ๆ ออกไปทำงานกันหมด อาจจะหงอยเหงา และมีปัญหาทางสุขภาพจิตได้ จึงนับเป็นระยะหนึ่งของชีวิตที่เกิดความเปลี่ยนแปลงอันอาจนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ในครอบครัวได้

๓. มีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย นั่นคืออวัยวะทุกระบบของร่างกายมีการเสื่อมเช่น ระบบการไหลเวียนของหลอดเลือดแข็ง ทำให้ความดันโลหิตสูง อันเป็นสาเหตุของการปวดศีรษะ อาการเหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ ระบบการย่อยอาหารขาดประสิทธิภาพทำให้อาหารไม่ย่อยและรับประทานอาหารได้น้อยลงไป

๔. การเปลี่ยนของบทบาท บทบาทใหม่ได้แก่ การเป็นปู่  ย่า  ตา  ยาย  ไม่ต้องมีการคอยสั่งสอนลูก เหมือนแต่ก่อน บทบาทในการอาชีพก็เปลี่ยนไปด้วย เพราะใกล้จะปลดเกษียณอายุ บางคนก็หงอยเหงาลงไปมาก เพราะขาดเพื่อน ส่วนบางรายที่มีงานทำต่อไป ก็อาจจะไม่มีการหงอยเหงามากนัก

        วัยผู้ใหญ่ตอนกลางหรือวัยกลางคน (Middle age) เริ่มจากอายุ ๔๑ ปี ถึง ๖๐ ปี ระยะนี้นับว่า การวงแผนในชีวิตได้เข้ารูปตามที่ต้องการแล้วเป็นส่วนมาก ผู้ที่มีพัฒนาการเหมาะสมกับอายุที่ผ่านมา จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัวและงานอาชีพ จัดเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของชีวิต (Prim of life) นั่นคือเป็นยุคแห่งความสำเร็จสุดยอดในชีวิตของมนุษย์ตามความสามารถของแต่ละคน ในด้านร่างกายจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ตลอดจนอาจจะมีความเสื่อมในด้านความสามารถต่าง ๆ ได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่เข้าสู่วัยกลางคน (ในหนังสือจิตวิทยาพัฒนาการของ อบรม สินภิบาล กล่าวว่า มี ๓ ช่วง โดยเพิ่มวัยชราเข้ามาด้วย)

เมื่อบุคคลย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทางสังคม ต้องมีการยอมรับความเป็นจริงของชีวิต การควบคุมอารมณ์ การเลือกคู่ครองที่เหมาะสม อย่างไรก็ดี แม้จะมีการกำหนดอายุของวัยผู้ใหญ่ไว้อย่างมากก็ตาม แต่ก็ยังมีลักษณะอื่น ๆ อีกมากที่จะกำหนดความเป็นผู้ใหญ่ของบุคคล ลักษณะที่เป็นเครื่องตัดสินความเป็นผู้ใหญ่ของบุคคล อาจกล่าวได้ดังนี้คือ

        ๑.  การเลือกคู่ครอง แม้บางคนอาจจะมีการเลือกคู่ครองมาแต่วัยเด็กก็ตามทราบว่าการเลือกคู่ครองที่มั่นคงและจริงจัง มักจะตกอยู่ในช่วงที่ย่างเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ตอนนี่เอง การใช้เวลาในวัยรุ่นหนักไปในทางการศึกษา บุคคลจึงต้องใช้เวลาระยะหลังจากวัยรุ่นมาสนใจการเลือกคู่ การศึกษานับเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการที่จะช่วยให้บุคคลเลือกคู่ครองให้เหมาะสมกับตนเองยิ่งขึ้น เช่น มีทัศนคติคล้ายคลึงกัน มีความสนใจและระดับการศึกษาใกล้เคียงกัน ฐานะทางเศรษฐกิจไม่แตกต่างกันจนเกินไป มีบุคลิกภาพที่ไปกันได้ ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้จะช่วยให้ชีวิตครอบครัวยั่งยืนนาน  (ดังจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป)

เมื่อมีการแต่งงานกันแล้ว ทั้งหญิงและชายก็จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับบทบาทใหม่ของตนคือ ในฐานะสามีหรือภรรยา มีความรับผิดชอบ ตลอดจนมีความซื่อตรงต่อกัน ผู้ที่ไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับภาวะของครอบครัวได้ มักจะประสบความล้มเหลวเป็นส่วนมาก และผู้ที่เข้าอกเข้าใจกัน รู้จักกันมาดีพอ ก็จะปรับตัวเข้ากันได้และเป็นครอบครัวที่ผาสุก  (ดังจะกล่าวในรายละเอียดในหัวข้อ  พัฒนาการทางด้านสังคม)

        ๒. การมีบุตร นอกจากคู่สามีภรรยาจะต้องปรับตัวให้เข้ากับคู่ของตนได้ หรือยอมรับความเป็นอยู่ของกันและกันได้ดีแล้วก็ตาม ยังต้องมีการปรับตัวโดยการเตรียมใจไว้เป็นพ่อแม่เพื่อความสุขของบุตร และต้องมีความเข้าใจว่า เด็ก คือทรัพยากรที่มีค่าที่สุด เป็นทรัพย์สมบัติที่ครอบครัวควรภูมิใจและถนุถนอม

๓. การประกอบอาชีพหรือสร้างหลักฐาน ผู้ที่สามารถในการประกอบอาชีพ คือยึดอาชีพที่เหมาะสมกับความสามารถของตน มักจะมีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ และจะมีการตั้งหลักฐานในชีวิตได้ ช่วยให้สังคมยอมรับความเป็นผู้ใหญ่ของตนยิ่งขึ้น คนที่ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีมักจะช่วยให้ชีวิตครอบครัวมีความสุขและราบรื่นอีกด้วย

๔. การเผชิญกับปัญหา แม้ทุกวัยที่ผ่านมาจะมีปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นแก่บุคคลก็ตามแต่เมื่อถึงวัยผู้ใหญ่มักเจอปัญหาที่แตกต่างไปจากวัยที่ผ่านมาอยู่มาก การมีคู่ครองและมีบุตร บุคคลจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่นี้ การที่มีสมาชิกเพิ่มขึ้นก็ย่อมมีปัญหาของบุคคลประดังเข้ามา ผู้ใหญ่ในครอบครัวจำเป็นต้องใช้ความสามารถในการแก้ปัญหาเพื่อประคับประคองให้ครอบครัวผ่านวิกฤติการณ์ต่าง ๆ ไปด้วยดี

อนึ่ง ปัญหาอาจจะเกิดจากด้านการประกอบอาชีพด้วยการร่วมงานกับเพื่อน ๆ ผู้บังคับบัญชาอาจมากระทบกระเทือนกันได้ หากไม่มีความสุขุมและหนักแน่นพอ อาจจะนำความล้มเหลวมาสู่ชีวิตการงานได้เช่นเดียวกัน

๕. ความกดดันทางอารมณ์ ได้กล่าวมาแล้วว่า ปัญหาต่าง ๆ  ทั้งในด้านครอบครัวและการงานอาจจะทำให้ผู้ใหญ่บางคนมีความยุ่งยากอยู่บ้างในการปรับตัว ทั้งนี้เพราะบางคนอาจจะยังไม่พร้อมในการที่จะเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ที่ต่างไปจากวัยตอนต้น ๆ ของชีวิต แต่พอย่างเข้าสู่วัย ๓๐–๔๐ ปี อาจจะลดความตึงเครียดลงได้บ้าง เพราะความเคยชิน และมีความคล่องตัวในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ขึ้น นอกจากนี้ การมีประสบการณ์เพิ่มขึ้นย่อมเป็นเครื่องอบรมสั่งสอนให้บุคคลมีความสุขขึ้น และความตึงเครียดทางอารมณ์ก็ลดลงไป

พัฒนาการทางด้านร่างกาย
๑.  กล้ามเนื้อหนักประมาณครึ่งหนึ่งของน้ำหนักของร่างกาย

๒.  ไขมันเริ่มลดลงไป รูปร่างเข้าแบบผู้ใหญ่เรื่อย ตอนนี้ชายจะมีรูปร่างแข็งแรงและใหญ่โตกว่าหญิง ที่เรียกว่า อกสามศอกนั่นเอง

๓.  ความสูงเพิ่มขึ้นช้ามาก แทบจะไม่เพิ่มเลย ส่วนหญิงมีแนวโน้มในด้านจะเพิ่มน้ำหนัก

๔.  การรับประทานอาหารในด้านปริมาณมากหรือน้อยเป็นปกติ  คือ เคยรับประทานมากก็จะรับประทานในปริมาณเท่า ๆ นั้นตลอดไป

๕.  ความทรงตัวดี

พัฒนาการทางด้านร่างกายของวัยผู้ใหญ่นี้  ยังมีความแตกต่างจากเดิมอยู่บ้าง บางคนอาจอ้วนตอนอายุมากแล้ว บางคนอ้วนตอนยังเป็นเด็กและวัยรุ่น แต่พอมาถึงวัยผู้ใหญ่กลับผอมลง  อีกทั้งวัยผู้ใหญ่เป็นวัยที่เริ่มอ่อนแอลงโดยเฉพาะทางด้านร่างกาย  เกิดโรคได้ง่าย  หากสังเกตดูแล้ว สาเหตุมาจากการรับประทานอาหารนั่นเอง

คณะนักวิจัยจากวิทยาลัยแพทย์ ยูซี  เดวิส ในสหรัฐอเมริกา พบว่า การดื่มน้ำแอปเปิ้ล ดูเหมือนจะช่วยชะลอกระบวนการเกิดโรคหัวใจได้ เนื่องจากสารประกอบในผลแอปเปิ้ล ที่เรียกว่า ไฟโตนิวเตรียนต์  จะเข้าไปออกฤทธิ์เหมือนกับที่ไวน์แดงและชาเข้าไปชะลอการแตกตัวของคอเลสเทอรอลที่เป็นโทษ  หัวหน้าคณะนักวิจัยซึ่งเป็นนักโภชนาการ   กล่าวว่า การศึกษาครั้งก่อนหน้านี้แสดงว่า การกินผักและผลไม้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่งานชิ้นนี้เป็นการศึกษาทางคลินิคครั้งแรกที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของสารประกอบที่อยู่ในน้ำแอปเปิ้ล  และผลแอปเปิ้ล  แม้นักวิจัยคาดดว่าจะได้พบกับผลในเชิงบวก  แต่ก็ต้องแปลกใจยิ่งขึ้นเมื่อพบว่า  สามารถเห็นผลได้ในเวลาแค่  ๖ สัปดาห์   ในการทดลองดังกล่าว ได้ใช้เวลาทั้งสิ้น  ๑๒  สัปดาห์  ทำกับอาสาสมัครชายหญิงวัยผู้ใหญ่ ๒๕ คน  แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม  โดยกลุ่มหนึ่งให้ดื่มน้ำแอปเปิ้ล  ๑๐๐ เปอร์เซนต์ ปริมาณ ๑๒ ออนซ์ทุกวัน  อีกกล่มกินแอปเปิ้ลทั้งเปลือก ๒ ลูก  หลังจากนั้น ๖ สัปดาห์ก็มีสลับกลุ่มกัน  โดยแต่ละคนต้องลงรายละเอียดของอาหารที่กินทุกครั้งไป   แล้วนักวิจัยก็จะติดตามดูน้ำหนักของแต่ละคนในช่วงนั้น  ผลปรากฏว่า กระบวนการแตกตัวของแอลดีแอล หรือคอเลสเทอรอลที่เป็นโทษใช้เวลานานขึ้น ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้   (หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ)

อย่างไรก็ดี การที่จะคุ้มกันโรคหัวใจได้นั้น ต้องเริ่มต้นจากวัยเด็กเช่นกัน  และหน้าที่ที่จะให้ลูกน้อยปราศจากโรคหัวใจเมื่อตอนอายุมาก คุณแม่ต้องดูแลลูกน้อยของตนเป็นอย่างดี นอกจากจะมีการรับประทานอาหารครบ ๕ หมู่แล้ว ยังต้องมีส่วนประกอบอื่นอีก  ดังจะกล่าวคือ  น้ำนมของแม่นั่นเอง  คุณของน้ำนมแม่นอกจากจะชุบชีวิตของลูกน้อยให้เติบโตแล้ว  ยังช่วยคุ้มกันลูกเมื่อโตใหญ่ขึ้นในวันข้างหน้า ไมให้เป็นผู้ใหญ่ขี้โรคอีกด้วย   โดยเฉพาะโรคหัวใจ  อันเป็นโรคเพชฌฆาตใหญ่ของคนสมัยนี้  ทีมนักวิจัยของสถานสาธารณสุขเด็กของอังกฤษ  ได้พบในการทำวิจัยเรื่องความสำคัญของอาหารสมัยทารก  ที่อาจทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง เมื่อเป็นผู้ใหญ่  ได้รู้ว่า ผู้ที่มีประวัติการกินนมแม่สมัยเป็นเด็กทารก มักจะมีระดับความดันโลหิตต่ำกว่าผู้มีประวัติถูกเลี้ยงด้วยนมเลี้ยงเด็ก  แต่การศึกษาไม่ได้นำเอาปัจจัยอื่นในชีวิต เช่นการกินอยู่ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ  และขาดการออกกำลัง  มาพิจารณาประกอบด้วย  รายงานการศึกษาซึ่งแจ้งไว้ในวารสารการแพทย์  แลนเซต  สรุปว่า  มันดูเป็นไปได้ว่าทารกที่ได้กินนมแม่เมื่อโตขึ้นจะมีระดับความดันโลหิตค่อนข้างต่ำ  เมื่อปรากฏเป็นเช่นนี้  มันจะมีผลต่อปัญหาอนามัยของประชาชนมากเป็นอย่างยิ่ง  ตลอดจนถึงการรณรงค์ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและอัมพาตด้วย รายงานเปิดเผยรายละเอียดว่า  การวิจัยพบว่า  เด็กวัยรุ่นที่มีประวัติได้กินนมแม่ จะมีความดันโลหิตตัวล่างต่ำกว่าเพื่อนคนที่มีประวัติว่ากินนม ผลเฉลี่ยแล้ว ๓.๒ จุด  วงการแพทย์สหรัฐ เคยศึกษาพบว่า หากว่า สามารถลดระดับความดันโลหิตตัวล่างลงได้สัก ๒ จุด  ก็จะช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูงได้ ๑๗ เปอร์เซ็นต์ ลดอันตรายจากการเป็นโรคหัวใจ  ๖ เปอร์เซ็นต์   และหนีเงื้อมมือของโรคหัวใจวายและอัมพาตได้พ้นถึง  ๑๕ เปอร์เซ็นต์  (หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ)

วัยหมดประจำเดือน/ฮอร์โมนหยุดการผลิต ผู้หญิงส่วนใหญ่จะหมดประจำเดือน เมื่ออายุประมาณ ๕๐ ปี แม้บางคนจะเร็วหรือช้ากว่านี้ก็ไม่มากนัก ก่อนที่จะหมดประจำเดือนจะมีระยะหนึ่งที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นระยะที่ความยุ่งยากมักจะเกิดขึ้น เมื่อก่อตัวลงรังไข่จะลดสมรรถภาพในการทำงานลงไปด้วย นั่นคือ รังไข่จะผลิตฮอร์โมนน้อยลงทำให้ประจำเดือนผิดปกติ คือคลาดเคลื่อนทั้งเวลา และปริมาณของเลือดประจำเดือนจะลดลงด้วย

เมื่อขาดฮอร์โมนจากรังไข่  อวัยวะเพศก็จะเหี่ยว หดตัว จำทำให้มีอาการคันอย่างรุนแรงและอาจจะเป็นโรคผิวหนังอักเสบ หรือเจ็บปวดในบริเวณอวัยวะเพศ

ก่อนจะมีการหมดประจำเดือน นั่นคือ ก่อนที่จะย่างเข้าสู่วัย ๕๐ ปี ควรจะได้ตระเตรียมตัว เพื่อรับภาวะดังกล่าว นั่น คือ ควรเริ่มระวังรักษาตัวตั้งแต่ขณะที่รู้สึกว่าประจำเดือนผิดปกติ สำหรับบางรายที่ประจำเดือนผิดปกติ และมีอาการปวดท้อง หรือรู้สึกเจ็บเต้านม ควรจะให้แพทย์ตรวจรักษาและอยู่ในคำแนะนำของแพทย์  หญิงบางคนประสบความยุ่งยากมากเมื่อหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นปัญหาทางด้านจิตวิทยา  คือ จะมีอาการเหงา เศร้าโศก กระวนกระวาย ขาดความยับยั้งชั่งใจและการวางตัวที่ดี คนไข้ประเภทนี้ อาจจะรักษาได้ด้วยการฉีดฮอร์โมนทางกล้ามเนื้อได้

มีข้อยืนยัน  ๓ ประการ ที่กล่าวว่า  การหมดประจำเดือนไม่ได้ทำให้แก่ชรา ดังนี้คือ

๑. ผู้หญิงที่ผ่านการผ่าตัดมดลูกออก หรือผ่าตัดรังไข่ออก ในระหว่างอายุประมาณ ๒๐ ปี  ก็ไม่ได้เร็วกว่าคนอื่น  ๆ  ที่ไม่ได้ผ่าตัด

๒. การหมดประจำเดือนไม่ได้ทำให้สัญชาตญาณทางเพศ หรือความสามารถทางสติปัญญาลดน้อยลง

๓. สุขภาพโดยทั่วไป  หลังหมดประจำเดือนยังดีเหมือนเดิม ถ้าระบบประสาทส่วนกลางไม่ถูกกระทบกระเทือน

สำหรับการผิดปกติในวัยหมดประจำเดือนอาจเกิดจากสาเหตุ ๒ ประการคือ

สาเหตุทางกาย  รังไข่จะทำงานน้อยลง  นั่นคือ หลั่งฮอร์โมนเพศหญิงน้อยลง ทำให้ประจำเดือนลดน้อยลง ในที่สุด  ประจำเดือนก็หยุดไป  เมื่อรังไข่ททำงานน้อยลง ต่อมไร้ท่อซึ่งเคยประสานงานกันทั้งหมดก็จะเสียสมดุล เมื่อต่อมเพศทำงานน้อยลง  ต่อมไร้ท่ออื่น ๆ ก็จะทำงานมากขึ้นชั่วคราว อันเป็นสาเหตุให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ  ในวัยหมดประจำเดือนได้ ทำให้ร่างกายเกิดการเสียสมดุลอยู่อีกระยะหนึ่งจนกวาต่อมไร้ทอต่างๆ  จะสามารถปรับตัวให้เกิดการประสานงานกันให้เกิดสมดุลขึ้นมาใหม่และต่อจากนั้นอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นชั่วคราวก็จะค่อย ๆ หายเป็นปกติ

สาเหตุทางใจ  ปัญหาที่สำคัญ (อีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในวัยนี้ ก็คือ ปัญหาทางจิตใจ ทั้งนี้เพราะเป็นระยะที่เปลี่ยนวัยอาจจะทำให้สตรีเกิดความวิตกกังวล หวาดกลัว และมีอาการเศร้าหมองอย่างรุนแรง อันเป็นสาเหตุของความผิดปกติต่าง ๆ ตามมาอีกมามาย และอาการที่เกิดขึ้นนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน  คือ บางคนอาจมีอาการผิดปกติอย่างรุนแรง  ส่วนบางคนอาจไม่มีอาการผิดปกติเลยหรือมีอาการผิดปกติน้อยมากก็มี

สำหรับชาย  ถึงแม้ไม่ มีประจำเดือนเหมือนผู้หญิง  แต่เมื่ออายุประมาณ ๔๕-๕๐ ก็มีอาการต่างๆ ทางประสาทเช่นเดียวกับผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนเหมือนกัน  เช่นรู้สึกหงุดหงิดโกรธง่าย ฉุนเฉียว คิดเล็กน้อย จู้จี้ จุกจิก  ตีโพยตีพาย ฯลฯ ความจริงข้อหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ผู้ชายเมื่ออายุประมาณ ๔๐ ปีขึ้นไป  เซลล์ของอัณฑะ  จะเริ่มสลายตัวลง และจะมีเยื่อพังผืดค่อยๆ แทรกเข้าไปแทนที่เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงในรังไข่  ฮอร์โมนที่เรียกว่า เทสโทสเตอโรน  ที่ถูกขับออกมาจะค่อย ๆ ลดจำนวนลง ทำให้สมรรถภาพทางเพศของชายค่อย ๆ  ลดลงด้วย  เนื้อพรุนที่มีลีกษณะเหมือนฟองน้ำของอวัยวะเพศก็จะได้รับความกระทบกระเทือนด้วยจากการเปลี่ยนแปลงนี้

อย่างไรก็ดี บางคนอาจคิดว่า เมื่อหมดประจำเดือน  หรือเซลล์ของอัณฑะเริ่มสลายตัวแล้วจะไม่มีความต้องการทางเพศ  อันที่จริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น เพราะในส่วนนี้ยังมีความต้องการทางเพศ  บางคนอยู่ในช่วงวัยรุ่นไม่มีความต้องการทางเพศ  แต่พอถึงวัยนี้แล้วกลับ มีความต้องการทางเพศอย่างรุนแรง  เข้าทำนองที่ว่า ตัณหากลับนั่นเอง

พัฒนาการทางด้านสติปัญญา
จากการทำวิจัยของเหล่านักจิตวิทยาและนักศึกษามหาบัณฑิตต่างๆ  ต่างก็ได้ข้อมูลในแง่เดียวกันว่า  สติปัญญา (Intelligence) ของคนเรานั้นได้มีการพัฒนามาเรื่อยๆ ตั้งแต่วัยทารกจนถึงวัยผู้ใหญ่ แต่ลักษณะของพัฒนาการแต่ละวัยจะมีความแตกต่างกันมากบ้าง น้อยบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ด้วย  วัยกลางคนก็เป็นอีกวัยหนึ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงทางด้านสติปัญญา  ลักษณะของการเปลี่ยนแปลงของแต่ละบุคคลนั้นก็แตกต่างกัน  แต่พอจะแบ่งการเปลี่ยนแปลงออก ๒  ด้าน  ได้ดังนี้

๑. สติปัญญาด้าน  crystallized  คือสติปัญญาที่ได้จากการสะสมความรอบรู้  รู้จักเทคนิคแก้ปัญหาที่เรียนรู้จากคำแนะนำและจากการเข้าสู่สังคม  รวมตลอดถึงความเจนจัดทางภาษาและทักษะปฏิบัติตามวัฒนธรรม  ตัวอย่างเช่น  รู้ศัพท์มาก  มีความรู้เรื่องพื้นฐานทั่วๆ  ไป สามารถใช้เหตุผลแบบตรรกตามแบบแผน  เข้าใจหลักวิชาการ  และมีทักษะเชิงกล  เช่น  รู้จักใช้เครื่องมือชนิดต่าง ๆ

  ๒. สติปัญญาด้าน  fluid  คือสติปัญญาเห็นการเชื่อมต่อระหว่างรูปแบบ  (เช่น  การต่อรูปปริศนา)  หาข้ออ้างทางสัมพันธภาพ บรรยายข้อเสนอได้แจ่มแจ้ง  Horn  (1982) อธิบายว่าสติปัญญาด้านนี้เป็นรากฐานของการให้เหตุผล  สรุปเรื่อง  และแก้ปัญหา  มีงานวิจัยพบว่าสติปัญญาด้านนี้เชื่อมโดยตรงกับระบบประสาทของบุคคล 

จากการศึกษาของ  Horn  ในปี ๑๙๘๒   และ  Horn และ Donaldson  ในปี ๑๙๘๐ แสดงให้เห็นได้ว่า  สติปัญญาทั้ง ๒  ฝ่ายนี้พัฒนาเคียงคู่กันมาตั้งแต่วัยต้นของชีวิต  จนอายุระหว่าง  ๒๐  ถึง  ๓๐  ปี  สติปัญญาด้าน fluid  บรรลุถึงจุดยอดแล้วลดต่ำลงเรื่อย ในขณะเดียวกัน  ด้าน  crystallized  ยังดำเนินสูงขึ้นในวัยกลางจนถึงวัยสูงอายุ   (ดร.ศรีเรือน  แก้วกังวาล , จิตวิทยาพัฒนาการชีวิตทุกช่วงวัย , ๒๕๔๐ : ๔๖๒)

จะเห็นได้ว่าสติปัญญาของคนปกติ   สุขภาพแข็งแรง  มีการพัฒนามาเรื่อยๆ  ตั้งแต่วัยทารกจนถึงวัยสูงอายุโดยไม่เสื่อมถอย  แต่ส่วนที่เสื่อมถอยเมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น  (อายุระหว่าง  ๒๐ ปี  ถึง  ๓๐ ปี)  ก็มี  เหมือนสุภาษิตโบราณของไทยที่ว่า  มะพร้าวยิ่งแก่ยิ่งมัน  คงจะเปรียบเทียบกับสติปัญญาของวัยกลางคนส่วนที่เป็น  crystallized  ได้เป็นอย่างดี  และที่มีคำพูดของบางคนที่ว่า  คนแก่สติปัญญาก็เสื่อมลงนั้นคงใช้ไม่ได้กับสติปัญญาทั้งหมดเป็นแน่

แบบแผนของสติปัญญาที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบ  crystallized  สูงขึ้น  และ  fluid  ต่ำลงนี้  มีผลกระทบถึงการรับรู้  การเรียนรู้  การประมวลข้อมูลข่าวสาร  การจดจำ  รูปแบบการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ  และวิธีคิดแก้ปัญหาของคนวัยกลางคนและวัยสูงอายุอีกด้วย  ( ดร.ศรีเรือน  แก้วกังวาล,จิตวิทยาพัฒนาการชีวิตทุกช่วงวัย,๒๕๔๐:๔๖๕)





http://b-u-t-t-e-r.hi5.com

้http://facebook.com/pattanasiri

ออฟไลน์ mameo

  • แฟนคลับ
  • ขั้น 2 : วัยรุ่นไฟแรง
  • ***
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด
    • http://b-u-t-t-e-r.hi5.com
Re: การบ้านจิตวิทยาอ่าคับ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2007, 10:22:45 PM »
ทฤษฎีและแนวคิดของเพียเจต์ (Piaget)
   พัฒนาการสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ ความพร้อม (Readiness) ซึ่งสำคัญมากต่อการเรียนรู้พัฒนาการที่สำคัญคือ พัฒนาการทางสติปัญญา อารมณ์ สังคมและร่างกาย
   ทฤษฎีพัฒนาการที่สำคัญ 2 ทฤษฎี คือ
   1.ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget Theory of Intellectual Development)
   2.ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรุนเนอร์ (Bruner’sCognitive Development)   
การเกิดพัฒนาการทางสติปํญญาตามทฤษฎีของเพียเจต์ โดยให้กระบวนการ 2 อย่าง คือ
      -กระบวนการดูดซึม (Assimilation) เป็นการบวนการที่เกิดจากเด็กพบ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมแล้วรับหรือดูดซึมภาพและเหตุการณ์ต่าง ๆเข้าใว้ในความคิดของตน
      -กระบวนการปรับให้เหมาะ (Accommodation)    เป็นการปรับความรู้เดิมเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่

เพียเจต์ได้แบ่งกระบวนการทางสติปัญญา (Cognitive Process) ออกเป็น 4 ขั้น คือ1.ระยะใช้ประสาทสัมผัส (Sensory-motor Stage) เป้ฯการพัฒนาของเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 2 ปี
2.ระยะควบคุมอวัยวะต่าง ๆ (Preoperational Statge) ตั้งแต่อายุ 2 ปีจนถึง 7 ปี
3.ระยะที่คิดอย่างเป็นรูปธรรม (Concrete-operational Stage) ตั้งแต่ช่วงอายุ 7 ปี ถึง 11 ปี
4.ระยะที่คิดอย่างเป็นนามธรรม (Formal-operational Stage) จะเป็นการพัฒนาช่วงสุดท้ายของเด็กที่มีอายุอยู่ในช่วง 12-15 ปี
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์กับการเรียนการสอน ควรคำนึงในเรื่องต่อไปนี้
1.เมื่อทำงานกับนักเรียน ผู้สอนควรคินึงถึงพัฒนาการทางสติปํญญาของนักเรียนดังต่อไปนี้
   1.1นักเรียนที่มีอายุเท่ากันอาจมีขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน
   1.2นักเรียนแต่ละคนจะได้รับประสบการณ์ 2 แบบคือ
        1.2.1ประสบการณ์ทางกายภาพ (physical experiences) จะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนแต่ละคนได้ปฏิสัมพันธ์กับวัตถุต่าง ในสภาพแวดล้อมโดยตรง
        1.2.2ประสบการณ์ทางตรรกศาสตร์ (Logicomathematical experiences) จะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนได้พัฒนาโรคงสร้างทางสติปัญญาให้ความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรม
2.หลักสูตรที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้คือ
   2.1เน้นพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนโดยต้องเน้นให้นักเรียนใช้ศักยภาพของตนเองให้มากที่สุด
   2.2เสนอการเรียนการเสนอที่ให้ผู้เรียนพบกับความแปลกใหม่
   2.3เน้นการเรียนรู้ต้องอาศัยกิจกรรมการค้นพบ
   2.4เน้นกิจกรรมการสำราจและการเพิ่มขยายความคิดในระหว่างการเรียนการสอน
   2.5ใช้กิจกรรมขัดแย้ง (cognitive conflict activities) โดยการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นนอกเหนือจากความคิดเห็นของตนเอง
3.การสอนที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนควรดำเนินการดังต่อไปนี้
   3.1ถามคำถามมากกว่าการให้คำตอบ
   3.2ครูผู้สอนควรจะพูดให้น้อยลง และฟังให้มากขึ้น
   3.3ควรให้เสรีภาพแก่นักเรียนที่จะเลือกเรียนกิจกรรมต่าง ๆ
   3.4เมื่อนักเรียนให้เหตุผลผิด ควรถามคำถามหรือจัดประสบการณ์ให้นักเรียนใหม่ เพื่อนักเรียนจะได้แก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตนเอง
   3.5ชี้ระดับพัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรียนจากงานพัฒนาการทางสติปัญญาขั้นนามธรรมหรือจากงานการอนุรักษ์ เพื่อดูว่านักเรียนคิดอย่างไร
   3.6ยอมรับความจริงที่ว่า นักเรียนแต่ละคนมีอัตราพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน
   3.7ผู้สอนต้องเข้าใจว่านักเรียนมีความสามารถเพิ่มขึ้นในระดับความคิดขั้นต่อไป
   3.8ตระหนักว่าการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเพราะจดจำมากกว่าที่จะเข้าใจ เป็นการเรียนรู้ที่ไม่แท้จริง (pseudolearning)
4.ในขั้นประเมินผล ควรดำเนินการสอนต่อไปนี้
   4.1มีการทดสอบแบบการให้เหตุผลของนักเรียน
   4.2พยายามให้นักเรียนแสดงเหตุผลในการตอนคำถามนั้น ๆ
   4.3ต้องช่วยเหลือนักเรียนทีมีพัฒนาการทางสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อร่วมชั้น
http://b-u-t-t-e-r.hi5.com

้http://facebook.com/pattanasiri

ออฟไลน์ worawit_inter

  • แฟนคลับ
  • ขั้น 3 : ซุปเปอร์สตาร์
  • ***
  • กระทู้: 267
    • ดูรายละเอียด
    • I'm MuD Hi5
การบ้านจิตวิทยาอ่าคับ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2007, 08:39:06 PM »
การบ้านจิตวิทยาอ่าคับ อ.สั่งแล้วงงมากมาย ช่วยหน่อยนะคับ หาม่ะเจอเรย ตามลิงค์นี้เลยนะคับ ขอบคุนอย่างแรง !ยิ้ม
http://lss.dpu.ac.th/announce.php?id=102&act=show&newsId=911